เทศน์เช้า

ทองแท้

๒๙ ต.ค. ๒๕๔๓

 

ทองแท้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ในมุตโตทัยข้อหนึ่งเลย เห็นไหม ว่าธรรมของพระพุทธเจ้าน่ะ ถ้าเป็นทองคำ เปรียบเหมือนทองคำ ถ้าทองคำในห้างร้านนี่เป็นทองคำที่บริสุทธิ์ ทองคำอยู่ในเหมืองน่ะ ทองคำอยู่ในดินน่ะ ทองคำมันก็คลุกดิน

ธรรมก็เหมือนกัน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ สะอาดบริสุทธิ์มากในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ประทานออกมา วางธรรมไว้ในพระไตรปิฎกใช่ไหม ในอรรถกถาฎีกานี่ แต่งกันมาเรื่อย รับกันมาเรื่อย แล้วเราก็ศึกษาเข้าไป พอเราศึกษาเข้าไปนี่ เราศึกษาธรรมนี่ ความเห็นของเรามี เห็นไหม ไอ้ความเห็นของเรานี่เหมือนกับดิน แล้วไปปกปิด ไปเลอะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าธรรมแท้คือทองคำ ทองคำนั้นเป็นบริสุทธิ์ผุดผ่อง ธรรมอันนั้นถ้าเข้าถึงหัวใจแล้วจะมีความสุขมากเลย

แต่ของเรานี่ เวลาเราศึกษาธรรมมา เราอ่านธรรมะนี่เราจะมีความสบายใจ ความปล่อยวาง ถ้าเราไปอ่านหนังสือนิยาย อ่านหนังสือประโลมโลก เราจะผูกมัดร่วมอารมณ์ไปกับเขา ถ้าว่าเราศึกษาธรรมนี่ ทองคำมันให้ผลอย่างนั้นไง เวลาเราอ่านหนังสือธรรมะขึ้นมานี่ เรามีความสบายใจ มีความโล่งใจ เห็นไหม อันนั้นธรรม

นี่ถ้าศึกษาธรรมมา ที่เขาเป็นปัญหาอยู่นี่ เขาก็ศึกษาธรรมมา แล้วเอาธรรมนั้นออกมาขาย เอาธรรมนั้นออกมาเผยแผ่ เผยแผ่แล้วตัวเองทำไม่ได้ ตัวเองทำไม่ถึง พอตัวเองทำไม่ถึง ถึงเวลาแล้วเวลามันตีกลับขึ้นมานี่ กิเลสไม่ไว้หน้าใคร แม้แต่ภิกษุผู้ปฏิบัติอยู่ พระก็เหมือนกัน พระ โยมนี่มีกิเลสหมด เพราะพระก็มาจากคน การบวชพระนี่คนมาบวชเป็นพระ เป็นพระขึ้นมาก็เป็นพระขึ้นมา แต่กิเลสมันยังไม่ได้ชำระ ยังไม่ได้สะสางขึ้นไป กิเลสในหัวใจอันนั้นมันถึงมีอยู่ เวลามันออกมา นี่ดินพอกหางหมู มันพอกหางหมู พอกขึ้นไปเรื่อย

แต่เวลามันแสดงออกมาจากหัวใจนี่ มันเลยเป็นอย่างนั้นไป เราถึงสำคัญตรงนี้ไง ครูบาอาจารย์ของเรานี่บอกว่า “ต้องให้ปฏิบัติให้ได้ก่อนแล้วค่อยสอนเขา ถ้ายังปฏิบัติไม่ได้อยู่ มันไม่รู้จริงหรอก” ความไม่รู้จริง อย่างเช่นการประพฤติปฏิบัตินี่ สอนกันมากเลยประพฤติปฏิบัติ ก็ให้ประพฤติปฏิบัติไป ให้พิจารณานามรูป พิจารณาอะไรไป พิจารณาเราเข้าไป พิจารณาเราก็พิจารณากัน พิจารณาไปเรื่อย ๆ แล้วก็ไปเรื่อย แต่พิจารณาแล้วมันเป็นอย่างใด

แต่ถ้าผู้ที่ปฏิบัติเข้าไปเป็นขั้นตอนเข้าไป เห็นไหม ถึงบอกว่า ในหลักธรรมบอกว่า “ผู้ที่ต่ำกว่าแก้ผู้ที่สูงกว่าไม่ได้ ผู้ที่สูงกว่าต่างหากถึงแก้ผู้ที่ต่ำกว่าได้” ผู้ที่มีมรรคผลในหัวใจ มีหลักการในหัวใจจะแก้ผู้ที่ต่ำกว่า ยกขึ้นที่ต่ำกว่าสูงขึ้นไป ๆ ดึงขึ้นไปเรื่อย นี่ตรงนี้สำคัญ สำคัญที่เวลาปฏิบัติเข้าไปๆ เวลาเราปฏิบัติเข้าไปมันจะมีกิเลสมันหลอกในหัวใจ หลอกให้ความเห็นเราผิดแผกไปต่าง ๆ ความเห็นเราก็ผิดไป

แต่ที่ดินในหัวใจของเรา คือเราต้องเข้าข้างตัวเราเอง อาการที่เราไม่เคยพบไม่เคยเห็นนี่ มันจะว่าง มันจะโล่ง นี่เราก็ว่าอันนั้น เทียบทันทีเลยนะว่าจะเป็นแบบที่พระพุทธเจ้าว่าไว้ ๆ มันจะเทียบเข้าไปทันที พอเทียบเข้าไปทันทีนี่ เทียบแล้วมันต่างจากอารมณ์เดิม อารมณ์ปกตินี่เป็นโลกียะ เป็นอารมณ์เดิม ๆ เวลาทำสมาธิขึ้นไปมันก็เป็นโลกียะ แต่มันยกขึ้นสูงขึ้น เป็นโลกียะตลอด

แล้วพอเป็นโลกียะก่อน โลกียะแล้วเราต้องพลิกขึ้นมาเป็นโลกุตตระ ปัญญามีปัญญาโลก สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาโลกนี่ เราศึกษาเล่าเรียนนี่สุตมยปัญญา ศึกษาเข้ามามันก็เป็นความรู้ของเรา นี่ท่องจำมา สุตมยปัญญาคือก๊อบปี้ความรู้ของคนอื่นมาเลย

จินตมยปัญญานี่เราพยายามใคร่ครวญของเราขึ้นมา พอใคร่ครวญของเรานี่ มันมีสิ่งที่มาเทียบเคียงแล้ว ใคร่ครวญในโลกกับใคร่ครวญในธรรม ถ้าใคร่ครวญในโลกมันก็ยังเป็นโลกอยู่ ถ้าใคร่ครวญในธรรม จินตมยปัญญามันจะขยับขึ้นเป็นภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญานี่เป็นปัญญาล้วน ๆ เป็นภาวนาล้วน ๆ เป็นความเห็นล้วน ๆ มันไม่ใช่เราด้วยนะ

ถ้ามีเราขึ้นไปนี่ มีเรามีความเห็นเข้าไป พอเราเข้าไปนี่มันเป็นธรรมชาติไปไม่ได้ มันไม่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทาคือมันหมุนไปเองโดยธรรมชาติของมัน ปัญญาอันนั้นเป็นธรรมชาติของมัน แต่ปัญญาที่เราคิดกันอยู่นี่มันเป็นปัญญาท่องจำ ปัญญาท่องจำน่ะมีสุตมยปัญญาด้วย มันยังไม่เป็นจินตมยปัญญาเลย นี่สูงขึ้นไป

แล้วพอภาวนามยปัญญาเกิดขึ้น มันจะเข้าไปกำจัด เข้าไปชำระกิเลส กิเลสที่มันแยกออกไป สังโยชน์นี่เป็นเครื่องร้อยรัด ฟังสิ สังโยชน์เป็นเครื่องร้อยรัด ระหว่างกิเลสคือความเห็นของเรา ความเห็นเดิมนี่ กับไอ้สิ่งที่เป็นธาตุรู้ ธาตุรู้มันมีอยู่แล้วโดยดั้งเดิม คือหัวใจของเรานี่ ธาตุรู้มันพาเกิดพาตายอยู่ตลอดเวลา แต่มันโดนปกคลุมอยู่ แต่ถ้าทำความสะอาดได้ธาตุรู้มันก็เป็นธาตุที่บริสุทธิ์ออกไป

แต่ปัจจุบันนี้ธาตุรู้มันมีสิ่งที่ปกคลุมอยู่ ร้อยรัดไว้ด้วยสังโยชน์ เวลาขาดนี่สังโยชน์ขาด เวลาพิจารณาไป เราพิจารณาเหมือนกัน เวลากาย เห็นไหม พิจารณากายไปแล้วมันจะว่าง มันจะทำลายไป มันทำลายไปเฉย ๆ นี่ทำลายไป กายกับใจมันเป็นความยึดมั่นถือมั่น เป็นอุปาทาน

แต่ถ้าพิจารณาไป เราพิจารณาซ้ำเข้าไป พิจารณากายซ้ำเข้าไป ๆ เวลามันขาดออกไป กายกับใจแยกออกเหมือนกัน แต่มีอีกส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งคือสังโยชน์ที่ร้อยรัดอยู่นี่มันจะหลุดออกไป ความหลุดออกไปนี่ทองคำอันนั้นน่ะ ที่ว่าเป็นทองคำที่เจือด้วยดินน่ะ ดินอันนั้นจะหลุดออกไป สังโยชน์จะขาดออกไปเห็นชัด ๆ เลย พอสังโยชน์ขาดออกไป นั้นล่ะที่ว่าเป็นทองคำที่บริสุทธิ์ขึ้นมาเป็นชั้น ๆ เข้าไป จนถึงที่สุดทองคำนั้นจะบริสุทธิ์สุดส่วนเลย ความบริสุทธิ์สุดส่วนนี่ มันต้องแยกออกเป็นชั้น ๆ เข้าไป

นี่ตรงนี้ไง ตรงที่ว่าหลวงปู่ครูบาอาจารย์ถึงบอกว่า “ต้องหาครูหาอาจารย์ให้ชี้นำตรงนี้” ถ้าไม่ชี้นำตรงนี้นะ ผู้ที่สอนก็ทองคำ ธรรมะของพระพุทธเจ้าทองคำแน่นอน ผู้ที่สอนเขา ที่ว่าในพระไตรปิฎกเป็นปลาทองคำนี่ เวลาสอนนี่สอนธรรมะพระพุทธเจ้า แต่สอนไป ๆ ตู่พุทธพจน์ คือว่าเอาความเห็นตัวสอนเข้าไปด้วย ๆ เวลาตายไปตกนรกนะ ตกนรกขนาดไหนแต่บุญกุศลที่การบวชเป็นพระเวลาพ้นจากนรกขึ้นมากลายเป็นปลาทองคำ เวลาปลาทองคำอ้าปากขึ้นมาปากนี่เหม็นไปทั้งหมดเลย เพราะอะไร? ไอ้ปากเหม็นเพราะความเห็นของตัว แต่ไอ้เปลือกที่ว่าตัวเองเป็นทองคำนี่ เกล็ดนี่เป็นทองคำเลย เพราะอะไร? เพราะบวชในศาสนา บุญกุศลก็สร้าง แต่ความเห็นของตัวที่ยังไม่เข้าใจตามสัจจะ ตามความจริง สอนก็สอนผิดออกไป นี่ขนาดสอนผิดนะ

แล้วเราเชื่อกันตาม ๆ กันไป พอเชื่อตาม ๆ กันไปนี่ ถึงบอกว่า เราเกิดมานี่ ถ้าเราพบพระพุทธเจ้าเป็นสหชาติอันนั้นบุญกุศลมาก แล้วเราพบครูบาอาจารย์เป็นชั้น ๆ ลงมา ถ้าครูบาอาจารย์ยังชี้เข้าไปตรงนั้นมันจืดสนิทนะ ธรรมะนี่อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จืดสนิท แต่เราไม่ชอบ เราชอบผาดโผน ชอบเห็นต่าง ๆ ชอบความรู้ต่าง ๆ เป็นไสยศาสตร์ไม่ใช่พุทธศาสน์

พุทธศาสน์ชำระกิเลสอย่างเดียว นี่โลกใน ชำระกิเลสแล้ว พอกิเลสขาดออกไป โลกนอก ที่ว่ารู้วาระต่าง ๆ นี่โลกนอก โลกนอกนี่เป็นผลพลอยได้ รู้ทั้งโลกในคือโลกในความทุกข์ ดับทุกข์ในหัวใจนี่โลกใน โลกนอกคือความเห็น อายตนะกระทบความเห็นต่าง ๆ ถ้าจิตนั้นสะอาด จิตนั้นบริสุทธิ์มันจะเห็นต่าง ๆ ความเห็นนั้นเป็นผล เป็นกำไร แต่ไอ้กำไรนั้นน่ะเราจะไปเอากำไรก่อน เราอยากเห็นอยากรู้ไปก่อน เราเลยขาดทุนไง ขาดทุนเพราะอะไร? เพราะเราไม่ได้ทำให้ใจนี้สะอาดก่อน มันก็แปรสภาพตลอด มันยังคลอนแคลนอยู่

แต่ถ้าใจนี้สะอาดก่อน เห็นไหม ทำใจให้สะอาดขึ้นก่อน สิ่งต่าง ๆ นั้นมันเป็นประโยชน์ทั้งหมดเลย ความเห็นอันนอกนั้นน่ะ ดูสิ อภิญญา ๖ เห็นไหม เป็นอภิญญา การรู้วาระจิต รู้ต่าง ๆ นี่ มันไม่ใช่เครื่องชำระกิเลส ไม่ใช่สิ่งชำระกิเลสเลย แต่มันเป็นการที่ว่า เป็นเครื่องมือสั่งสอน เป็นการรู้ทันว่ากิเลสจะคิดอย่างไร สำหรับครูบาอาจารย์ใช้เป็นเครื่องมือมาดูวาระจิตของลูกศิษย์ลูกหา แต่ความจริงอันนั้นมันเป็นเครื่องมือในการดัดแปลง ในการกดขี่กิเลส แต่มันไม่ใช่ยา ไม่ใช่ตัวยาที่จะไปชำระโลกได้ ชำระโลกได้มรรคอริยสัจจังเท่านั้น

นี่มันถึงว่าภาวนาซ้ำเข้าไป ๆ ซ้ำเข้าไปตรงนั้น เรามันปล่อยวางไปเพราะอะไร? เพราะว่าหัวหน้าผู้ที่สั่งสอนไม่เห็นสมุจเฉทปหานไง ไม่เห็นเวลาจิตที่มันชำระขาดออกไปไง ถึงว่าวิปัสสนานี่ วิปัสสนาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม แต่ไอ้อาการต่าง ๆ ที่ว่ามันเกิดขึ้นนั้น มันเหมือนอริยสัจนี่ มันเป็นนามธรรม นามธรรมเราสร้างขึ้น เหมือนพลังงานของเครื่องยนต์นี่...(เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)